Barcamp Bangkok งานสัมมนา 2.0 และการบรรยายแบบ 2.0

เมื่อวันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2551 ผมมีโอกาสไปร่วมงาน Barcamp Bangkok ที่จัดโดย geek และมี geek มากกว่า 160 คนเข้าร่วมงาน

บางคนเรียกงานนี้ว่า Conference 2.0 และหลายคนก็เรียกมันว่า Un-conference ซึ่งแปลเป็นไทยว่างานสัมมนานอกกรอบ (แต่ผมเรียกว่า “อสัมมนา”)

ที่มันมีชื่อแบบนี้ก็เป็นเพราะว่างานนี้ไม่มีเจ้าภาพ มีแต่อาสาสมัครที่ร่วมมือกันจัดงานครั้งนี้ขึ้นมา ไม่มีวิทยากรรับเชิญ มีแต่ผู้เข้าร่วมงานที่เชิญตัวเอง (อาสา) เข้าไปเป็นวิทยากร ไม่มีใครรู้ว่าจะมีหัวข้อบรรยายอะไรในงานบ้าง ทุกคนรู้แต่ว่ามันเจ๋งแน่ๆ และรอไปดูหัวข้อที่ผู้เข้าร่วมงานเสนอเอาตอนเริ่มงาน

ผมจะขอเล่าในเชิงเปรียบเทียบระหว่างงานสัมมนา 1.0 กับงานสัมมนา 2.0 ว่างานสองรูปแบบนี้มีรายละเอียดที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

Demand กำหนด Supply

ในงานสัมมนา 1.0 มักจะมีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพอย่างชัดเจน เจ้าภาพเป็นผู้กำหนดธีมงานและหัวข้อสัมมนาขึ้นมา จากนั้นก็จะเชิญวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญให้หัวข้อนั้นๆ มาบรรยาย เจ้าภาพบางรายอาจจะเข้มงวดมากถึงขนาดให้วิทยากรส่งรายละเอียดหัวข้อที่จะบรรยายมาเพื่อพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ ถ้าดูแล้วไม่เหมาะสม (ตามความรู้สึกของเจ้าภาพ ไม่ใช่ตามความรู้สึกของผู้เข้าร่วมสัมมนา) เจ้าภาพก็จะบอกให้วิทยากรปรับเปลี่ยนหัวข้อ ซึ่งวิทยากรก็จะเซ็งและมักจะแย้งว่าเจ้าภาพรู้ได้อย่างไรว่าหัวข้อนี้ไม่เหมาะกับผู้ฟัง (ผมเป็นมาแล้วครับ แต่ก็ได้แต่แย้งในใจและยอมปรับหัวข้อตามที่เจ้าภาพต้องการ)

ขณะที่งานสัมมนา 2.0 นั้นไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีการกำหนดหัวข้อ อย่างเช่นงาน Barcamp Bangkok ที่ดูเหมือนจะเป็นงานสำหรับ geek มาพูดแต่เรื่องไอทียากๆ แต่ปรากฎว่าเอาเข้าจริงก็มีหัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับไอทีเลยอย่างเช่นเรื่องการปีนเขาอยู่ด้วย หัวข้อที่มีการบรรยายในงานเกิดจากผู้เข้าร่วมงานที่ไปถึงงานแล้วมีเรื่องอะไรที่อยากพูด ก็เขียนหัวข้อของตัวเองลงในกระดาษแล้วนำไปติดไว้ที่ผนัง จากนั้นผู้เข้าร่วมงานคนอื่นๆ ก็จะไปดูว่าตนเองสนใจหัวข้อไหนบ้าง แล้วจะติ๊กให้คะแนนกับหัวข้อนั้น หัวข้อที่ได้รับคะแนนมากๆ จะถูกบรรจุลงในห้องและช่วงเวลาต่างๆ เพื่อให้เลือกเข้าไปฟังได้ ส่วนหัวข้อที่ได้รับคะแนนน้อย ผู้เสนอหัวข้อก็ต้องทำใจว่าหัวข้อของตัวเองดีแล้ว แต่ยังดีไม่พอสำหรับ… เอ่อ ไม่ใช่สิ ต้องทำใจว่าหัวข้อของตัวเองอาจไม่เป็นที่สนใจของผู้เข้าร่วมงานนัก งานสัมมนา 2.0 จึงเป็นงานที่ Demand เป็นผู้กำหนด Supply จริงๆ

ความเหมือนที่แตกต่างของการ Maximize Customer Value

ในงานสัมมนา 1.0 นั้น เป้าหมายเชิงธุรกิจมักจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้จัดงาน

งานสัมมนาหลายงานใช้วิธีขายหลักสูตรให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งก็เป็นวิธีการขายความรู้กันแบบตรงไปตรงมา ราคาขึ้นอยู่กับหัวข้อว่าน่าสนใจแค่ไหน และจำนวนวันที่มีการจัดสัมมนา มีตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาท

งานสัมมนาบางงานใช้วิธีขายบูธเพื่อหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดสัมมนา และเปิดให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเข้าฟังได้ฟรีๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แลกกับการที่ผู้เข้าร่วมงานจะต้องดูบูธของสปอนเซอร์ต่างๆ ที่มาออกงาน บางทีสปอนเซอร์ก็จะได้เวลาช่วงหนึ่งของการสัมมนาเพื่อพูดแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย นี่ก็เหมือนโมเดลการใช้บริการเว็บไซต์ได้ฟรีโดยแลกกับการดูโฆษณานั่นเอง

ส่วนงานสัมมนา 2.0 อย่าง Barcamp Bangkok นั้นก็เปิดให้เข้าร่วมงานได้ฟรีโดยมีสปอนเซอร์สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ แต่ต่างกันตรงที่สปอนเซอร์ไม่สามารถยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเข้ามาได้ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าผู้เข้าร่วมงานจะเป็นผู้บอกว่าพวกเขาอยากฟังอะไร แต่ถ้าสปอนเซอร์มาพร้อมกับหัวข้อการบรรยายที่น่าสนใจ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมงานเอง

ถึงจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างสัมมนา 1.0 และ 2.0 ก็คือการพยายามทำให้ลูกค้าตัวจริงซึ่งก็คือผู้เข้าร่วมงานสัมมนาได้รับความรู้มากที่สุด

เวทีค้นฟ้าคว้าดาว

ในการไปร่วมงาน Barcamp ในครั้งนี้ หลายคนเข้ามาทักทายผมเพราะติดตามอ่านบล็อกผมอยู่เป็นประจำ แต่อีกบทบาทหนึ่งในวงการเว็บที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือผมเป็นหนึ่งในกรรมการสมาคมผู้ดูแลเว็บไทยด้วย (เพิ่งเข้าไปเป็น) และผมตั้งใจว่าจะไปแนะนำโครงการหนึ่งของสมาคมที่ร่วมกับ SIPA ให้กับบรรดา geek ได้รับรู้

โครงการนี้มีชื่อยาวๆ ว่า Open Source Web Developer Promotion Program ซึ่งเป็นโครงการที่จะส่งเสริมให้เกิดชุมชนนักพัฒนาเว็บที่แข็งแกร่ง โดยจะมีการให้ทุนเพื่อส่งตัวแทนไปเข้าร่วมสัมมนาในต่างประเทศได้แก่ Web 2.0 Expo, MySQL Conference, Zend Conference และ Open Source Convention เมื่อกลับมาแล้วก็นำความรู้ที่ได้รับมาเขียนลงบล็อก รวมถึงบรรยายในงานสัมมนาที่จะจัดขึ้นในไทยเพื่อเผยแพร่ความรู้ออกไปในวงกว้าง นอกจากนี้ยังมีการสั่งซื้อหนังสือด้านการพัฒนาเว็บจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้หยิบยืมไปอ่านได้ (โครงการนี้ยังเป็นแค่แผนที่รอการอนุมัติงบอยู่นะครับ ขอให้ได้งบเร็วๆ ด้วยเถิด สาธุ)

ความเสี่ยงหนึ่งของโครงการนี้ที่ผมกังวลก็คือเราจะหาตัวแทนที่จะส่งไปสัมมนาเมืองนอกไม่ได้ เราอาจจะหาคนที่เชี่ยวชาญทางเทคนิคได้ แต่คนเหล่านั้นอาจจะไม่ถนัดในการถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมา

แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมงาน Barcamp แล้ว ความกังวลนี้ก็ลดลง ใครว่า geek สื่อสารกับคนอื่นไม่เป็น?

ในงานสัมมนารูปแบบ 1.0 ที่มีวิทยากรเพียงไม่กี่คน คนที่เป็นดาวของงานก็คือวิทยากร สังเกตดูได้ว่าหลังจากวิทยากรพูดจบ มักจะมีคนฟังเข้าไปรุมล้อมเพื่อสอบถามรายละเอียดของการบรรยาย วิทยากรบางคนมีแฟนคลับที่ตามไปฟังกันทุกงานเลยด้วยนะ

แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่นั่งฟังอยู่จะไม่มีใครเก่ง ไม่มีใครเป็นดาวเลย บางคนอาจจะเก่งกว่าวิทยากรด้วยซ้ำ แต่เพียงเพราะใต้เท้าของเขาไม่มีเวที ในมือของเขาไม่มีไมโครโฟน เราก็เลยไม่รู้ว่าเขาเก่ง

ขณะที่งานสัมมนา 2.0 จะเปิดโอกาสให้คนเก่งเงียบเหล่านี้มีโอกาสเปล่งประกายมากขึ้น มีเวทีให้เขายืน มีไมโครโฟนให้เขาถือ และมีคนมานั่งฟังเขาพูด ผมเลยได้เห็นคนเก่งๆ จากงานนี้หลายคนที่น่าจะให้เป็นตัวแทนไปสัมมนาเมืองนอกและนำความรู้กลับมาถ่ายทอดให้คนไทยฟัง

นอกจากผมที่ไปทำตัวเป็นแมวมองในงาน Barcamp แล้ว ยังมีเฮดฮันเตอร์ไปร่วมงานอีกหลายคนครับ คนเหล่านี้ไปมองหาคนไอทีเก่งๆ เพื่อจะป้อนงานหรือตำแหน่งงานด้านไอทีให้

การบรรยาย 2.0

ถึงแม้ว่า Barcamp จะเป็นงานสัมมนา 2.0 แต่การบรรยายในแต่ละ session ของงานส่วนมากก็ยังเป็นรูปแบบ 1.0 อยู่ คือผู้พูดก็พูดไป ผู้ฟังก็ฟังไป บาง session ก็ดีหน่อยตรงที่ผู้ฟังมีส่วนร่วมบ้างในตอนท้ายด้วยการยกมือถามผู้พูด

แต่มีอยู่หนึ่ง session ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นการบรรยายแบบ 2.0 จริงๆ ก็คือ AV (Adult Video) Development Life Cycle ซึ่งบรรยายโดย Hunt, Keng และ Sugree ที่แทบไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะผู้ฟังช่วยพูดหมดเลย

ผู้บรรยายทั้งสามในหัวข้อ AV Development Life Cycle

ผู้บรรยายทั้งสามกำลังพูดในหัวข้อ AV Development Life Cycle อย่างร่าเริง (รูปโดย Plynoi)

ผู้คนให้ความสนใจในหัวข้อ AV Development Life Cycle อย่างล้นหลาม

ผู้คนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม

อาจจะเป็นเพราะว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องที่รู้กันดีในหมู่ผู้ฟังอยู่แล้ว (แต่ผมไม่รู้จริงๆ นะ มิยาบิอะไรนี่ไม่รู้จักเลย) แต่ละคนเลยมีส่วนร่วมกันอย่างเต็มที่ ซึ่งประเด็นก็ขยายไปถึงเรื่องของศีลธรรมและความเหมาะสมต่างๆ

บทสรุป

สิ่งที่งานสัมมนา 2.0 ทำให้เกิดขึ้นก็คือการสนับสนุนให้คนไทยที่มีนิสัยขี้อายรู้จักการมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งการมีส่วนร่วมเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะต่อยอดองค์ความรู้ที่แต่ละคนมีอยู่ ความรู้ไม่ควรถูกเก็บไว้ในสมองอย่างเดียว แต่มันควรถูกถ่ายทอดผ่านปากออกมาสู่สมองคนอื่นๆ ด้วย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลให้ระดับความรู้เฉลี่ยของชุมชนเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นชุมชนอุดมปัญญาในที่สุด

งาน Barcamp Bangkok จบลงอย่างน่าประทับใจ และงานแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาด “คุณ”

ดูรูปบรรยากาศในงานทั้งหมดที่ Flickr

ถ้าอ่านแล้วชอบ ฝากแชร์ด้วยนะครับ
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •