Social Media Optimization (SMO) ปรับแต่งเว็บให้ถูกใจคน

แหล่งที่มาของคนเข้าเว็บ (Traffic Source) ของเว็บใดๆ มักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือคนที่เข้าเว็บผ่านทาง Search Engine ประเภทที่สองคือคนที่คลิกลิงก์มาจากเว็บอื่น (Referring Site) และประเภทสุดท้ายคือคนที่เข้าเว็บโดยตรง (Direct Traffic) ซึ่งอาจจะพิมพ์ชื่อเว็บเองหรือเข้าทางบุ๊คมาร์ค

ศาสตร์ในการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ Search Engine Optimization (SEO) ที่เน้นการปรับแต่งหน้าเว็บให้ “คอมพิวเตอร์” อย่าง Google ถูกใจ จนยอมมอบตำแหน่งที่ดีในผลลัพธ์การค้นหาให้

ล่าสุดมีอีกศาสตร์ที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น ซึ่งชื่อของศาสตร์นี้พ้องกับชื่อ Search Engine Optimization นั่นก็คือศาสตร์ที่เรียกว่า Social Media Optimization (SMO) โดยศาสตร์นี้จะเน้นการปรับแต่งหน้าเว็บให้ “คน” ชอบ อยากมีส่วนร่วมกับเว็บ รวมถึงอยากบอกต่อเว็บนี้ให้คนอื่นรู้

SMO ถูกพูดถึงครั้งแรกโดย Rohit Bhargava ในบล็อกของเขา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2549 โดยเขาได้เขียนถึงกฎ 5 ข้อในการทำ SMO ไว้ดังนี้

1. เพิ่มจำนวนหน้าเว็บที่สามารถลิงก์มาหาได้ ข้อนี้เป็นข้อแรกที่สำคัญที่สุด เว็บไซต์หลายแห่งเป็นเว็บ “นิ่ง” คือไม่ค่อยมีการเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ อย่างเช่นเว็บบริษัทที่มักจะมีเนื้อหาที่ตายตัว การจะทำให้เว็บของเราได้รับประโยชน์จาก Social Media มากที่สุด จะต้องเพิ่มจำนวนหน้าเว็บเพื่อให้คนอื่นลิงก์มาหามากขึ้น วิธีที่ดีมากก็คือการสร้างบล็อกและเขียนเนื้อหาใหม่ลงไปอย่างสม่ำเสมอ

2. ทำให้คนแท็กและบุ๊คมาร์คได้ง่าย ในหน้าเว็บควรจะมีปุ่ม “เพิ่มลง Delicious” ซึ่งเป็นเว็บ Social Bookmark ชื่อดังของโลก ปุ่มนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถแท็กเว็บหน้านี้เก็บไว้ได้ง่าย แต่คุณควรจะทำให้เหนือไปกว่านี้อีกด้วยการแท็กหน้าเว็บของตัวเองไว้ก่อนเลย โดยระบุชื่อของแท็กที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาไว้ เมื่อผู้ใช้คนอื่นต้องการแท็กหน้าเว็บของคุณบ้าง Delicious จะแนะนำชื่อแท็กให้เขาเลือกได้โดยอัตโนมัติ

3. ให้รางวัลกับเว็บที่ทำลิงก์มาหา การที่เว็บของเรามีลิงก์จากเว็บอื่นเข้ามาหา จะช่วยเพิ่มอันดับในผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine ได้ สิ่งที่ควรทำก็คือแสดง Permalink หรือ URL ของหน้าเว็บหน้านั้นให้ชัดเจน เพื่อให้คนอื่นทำลิงก์มาหาได้อย่างถูกต้อง และมีการทำลิงก์กลับไปยังเว็บที่เพิ่งลิงก์เข้ามาหาเราเพื่อเป็นการตอบแทนกัน อย่างในบล็อกผมจะมีระบบ Trackback ที่จะลิงก์กลับไปหาเว็บที่ทำลิงก์มาถึงบทความในบล็อกให้โดยอัตโนมัติ ไม่เชื่อลองทำลิงก์มาที่บทความนี้ดูสิครับ http://macroart.net/2008/12/social-media-optimization-smo/

4. ทำให้เนื้อหาของคุณถูกเผยแพร่ออกไปให้มากที่สุด SMO ไม่ใช่แค่เพียงปรับเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์แบบ SEO เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าคุณมีเนื้อหาที่สามารถส่งต่อได้ เช่น ไฟล์ PDF คลิปวิดีโอ คลิปเสียง ไฟล์สไลด์ ให้อัปโหลดไฟล์เหล่านี้ไปเก็บไว้บนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าเป็นไฟล์คลิปวิดีโอ ให้โหลดขึ้นไปไว้บน YouTube ถ้าเป็นไฟล์สไลด์ ลองนำไปเผยแพร่ที่ SlideShare หรืออย่างเว็บพอดคาสต์ Diary60 ของผม ผมก็เอาไฟล์เสียงไปฝากไว้ที่ Fuse ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนคนที่ได้รับรู้เนื้อหาที่คุณสร้างขึ้น และยังเพิ่มโอกาสที่จะมีลิงก์จากเว็บอื่นเข้ามาหามากขึ้นด้วย

5. สนับสนุนให้มีการทำ Mashup ในโลกที่ผู้คนร่วมกันสร้างสรรค์งาน การเปิดให้คนอื่นนำเนื้อหาของคุณไปใช้ต่อยอด ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า อย่างเช่นไอเดียของ YouTube ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถนำโค้ดวิดีโอไปติดในเว็บของตัวเองได้ ซึ่งช่วยให้ YouTube เติบโตได้อย่างรวดเร็ว การเปิดให้เว็บคุณมี RSS ก็จะช่วยให้คนอื่นนำเนื้อหาของคุณไปทำ Mashup ซึ่งส่งผลให้มีคนเข้าเว็บคุณเพิ่มขึ้นด้วย

กฎในการทำ SMO ไม่ได้มีเพียงแค่ 5 ข้อ หลังจากที่ Rohit Bhargava ได้เผยแพร่กฎ 5 ข้อแรกนี้ออกไป ก็มีผู้อ่านบล็อกของเขาช่วยกันเขียนกฎเพิ่มขึ้นอีก จนในปัจจุบันมีมากถึง 16 ข้อ และถูกแปลออกไปแล้วมากถึง 9 ภาษา

เว็บไซต์หลายแห่งเริ่มพัฒนาความสามารถด้าน Social Media ให้กับผู้ใช้ หน้าสินค้าในเว็บไซต์ Amazon เป็นหน้าเว็บที่มีความสามารถด้าน Social Media เยอะมาก ลองมาดูรายละเอียดกันครับ

1. Product Ratings เปิดให้ลูกค้าสามารถให้ดาวและเขียนรีวิวถึงสินค้าตัวนั้นได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์แก่ลูกค้าคนอื่นในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้

Amazon - Product Ratings

2. Share Your Own Customer Images นอกจากรูปสินค้ามาตรฐานที่ Amazon มีให้ ลูกค้าก็สามารถถ่ายรูปสินค้าของเขามาแสดงให้คนอื่นดูได้ด้วย

Amazon - Share Your Own Customer Images

3. Add to Wish/Registry List บอกให้เพื่อนรู้ว่าคุณอยากได้สินค้าชิ้นนี้เป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ

Amazon - Add To Wish/Registry Llist

4. Share with Friends ส่งหน้าสินค้านี้ให้เพื่อนดูด้วย

Amazon - Share with Friends

5. What Do Customers Ultimately Buy After Viewing This Item? เมื่อลูกค้าดูหน้าสินค้านี้แล้ว เขาจะตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นไหนแทน

Amazon - What Do Customers Ultimately Buy After Viewing This Item?

6. Amazon.com Sales Rank สินค้าชิ้นนี้ขายดีเป็นอันดับที่เท่าไร ซึ่งอันดับนี้คำนวณมาจากการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริง

Amazon - Sales Rank

7. Customers Who Bought This Item Also Bought ความสามารถด้าน Social Media ที่มีชื่อเสียงของ Amazon ที่สามารถแนะนำได้ว่าลูกค้าที่จะซื้อสินค้าชิ้นนี้ไป เขาควรจะซื้อสินค้าอื่นๆ อะไรอีกบ้าง โดยนำข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าคนอื่นๆ มาประมวลผลเพื่อให้คำแนะนำ

Amazon - Customers Who Bought This Item Also Bought

8. Tags Customers Associate with This Product ช่วยให้ลูกค้าคนอื่นๆ ค้นหาสินค้าชิ้นนี้เจอด้วยการระบุชื่อแท็กที่เกี่ยวข้อง

Amazon - Tags Customers Associate with This Product

9. Most Helpful Customer Reviews แสดงรีวิวของลูกค้าคนอื่นๆ โดยเรียงลำดับจากรีวิวที่มีคนเห็นว่ามีประโยชน์มากที่สุด

Amazon - Most Helpful Customer Reviews

10. Customer Discussions สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้ากับลูกค้าคนอื่นๆ

Amazon - Customer Discussions

11. Listmania! รายการกลุ่มสินค้าที่ลูกค้าคนอื่นแนะนำไว้ ซึ่งอาจจะเป็นรายชื่อหนังสือที่ต้องอ่าน รายชื่อหนังดีที่ไม่ควรพลาด เป็นต้น

Amazon - Listmania!

12. So You’d Like to… ถ้าคุณอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องชา คุณควรจะซื้อสินค้าอะไรไปบ้าง หรือถ้าคุณอยากอ่านหนังสือแนวสยองขวัญ คุณควรจะซื้อหนังสือเล่มไหนไป

Amazon - So You'd Like To

จะเห็นได้ว่าความสามารถด้าน Social Media ของ Amazon นอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมกับเว็บไซต์แล้ว ยังทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ใช้ที่จงรักภักดีต่อเว็บไซต์ เพราะเขาได้สร้างเนื้อหาและเป็นที่รู้จักโดยผู้ใช้คนอื่นๆ ไปแล้วด้วย นอกจากนี้แล้วความสามารถเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ Amazon ได้อีก และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Amazon ยังคงมียอดขายที่เิติบโตขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ถ้าอ่านแล้วชอบ ฝากแชร์ด้วยนะครับ
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

, , , , , , ,