คุณเคยมีความคิดแบบนี้มั้ย? ทำไมแฟนเรานิสัยเห็นแก่ตัวจัง ทำไมเพื่อนร่วมงานเราถึงขี้นินทาจัง ทำไมเจ้านายเราถึงงกจัง ทำไมลูกน้องเราทำงานชุ่ยจัง ทำไมแม่ขี้บ่นน่ารำคาญจัง ทำไมพนักงานขายร้านนั้นพูดจาปากเสียจัง ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมทุกคนรอบตัวเราถึงแย่ไปหมดขนาดนี้ โลกนี้ช่างไม่น่าอยู่เอาเสียเลย
ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมต้องเคยมีโมเมนต์แบบนี้ครับ โมเมนต์แบบที่เห็นใครทำอะไรก็รู้สึกขัดหูขัดตาขัดใจไปหมด บางคนมีโมเมนต์แบบนี้ทุกวัน วันละหลายครั้ง ขณะที่บางคนมีนานๆ ที ปีละไม่กี่หน
คุณคิดว่าระหว่างคนที่มองเห็นแต่ข้อเสียของคนอื่นอยู่เสมอๆ กับคนที่มองเห็นข้อดีของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สองคนนี้ใครจะมีความสุขในชีวิตมากกว่ากัน? ใครจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากัน?
คนทุกคนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว หากเรามองเห็นแต่ข้อเสียของเขา ก็เหมือนเราก่อกำแพงความรู้สึกอันขุ่นมัวขึ้นมาในใจตัวเอง ยิ่งเรารู้สึกแบบนี้กับคนหลายคน เท่ากับเรามีกำแพงหลายด้าน สุดท้ายจะกลายเป็นว่าเราถูกขังอยู่ในกำแพงที่ตัวเองก่อขึ้นเอง
แต่หากเรามองเห็นข้อดีของเขา ก็เหมือนการสร้างสะพานเชื่อมไปหาเขา หากหัวหน้ามองหาข้อดีของลูกน้องมากกว่าจ้องหาข้อเสีย หัวหน้าก็จะรู้ว่าลูกน้องคนไหนถนัดอะไร และสามารถใช้ข้อดีของเขาให้เป็นประโยชน์กับงานได้ หรือหากเรามองหาข้อดีของเพื่อนร่วมงาน เราก็จะรู้วิธีผูกมิตรกับเขาได้ไม่ยาก
ผมเคยเข้าร่วมกิจกรรมละลายพฤติกรรม ผู้นำกิจกรรมบอกให้ทุกคนนั่งล้อมกันเป็นวงกลม แต่ละคนถือว่าเป็นคนแปลกหน้าเพราะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ทำให้เราไม่มีอคติอะไรกับใคร ทุกคนในวงได้รับแจกกระดาษกับปากกา ผู้นำกิจกรรมบอกให้ทุกคนเขียนชื่อคนที่อยู่ทางซ้ายมือของตัวเองลงในกระดาษ จากนั้นให้พิจารณาว่าเขามีข้อดีอะไรบ้าง ให้เขียนลงในกระดาษให้ได้ 3 ข้อ จากนั้นก็ส่งกระดาษแผ่นนี้ให้คนทางซ้าย แล้วผู้นำกิจกรรมก็จะเดินถือไมค์ไปให้แต่ละคนอ่านสิ่งที่อยู่ในกระดาษ นั่นก็คือการอ่านข้อดีของตัวเราที่เพื่อนทางขวามือของเรามองเห็นนั่นเอง
แน่นอนว่าข้อดีที่แต่ละคนอ่านออกมาส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้จากภายนอก เช่น หน้าตาดี ผิวพรรณดี หุ่นดี แต่งตัวดี ยิ้มสวย ดูเป็นมิตร ดูอบอุ่น ดูเป็นผู้ใหญ่ ฯลฯ
สมมุติว่าคุณไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหุ่นดีเลย แต่คนทางขวาบอกว่าคุณหุ่นดี คุณจะรู้สึกยังไงครับ? นี่คือข้อดีของจริงที่ผมได้รับจากพี่ผู้หญิงที่อยู่ทางขวา พี่เขาคงเห็นว่าผมตัวสูง แต่เขาไม่รู้ว่าผมผอมแต่มีพุง (ใหญ่มาก) เพราะผมใส่เสื้อหลวมๆ พรางไว้ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าพื้นฐานทางร่างกายของผมน่าจะมีดีอยู่ประมาณนึงนะ พี่เขาถึงมองเห็นแบบนั้น ถ้าผมฟิตหุ่นหน่อย ล่ำขึ้นอีกนิด ลงพุงให้ยุบ ผมน่าจะเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างดีคนนึงเลย
ขณะที่ผมเขียนข้อดีให้พี่ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ทางซ้ายว่า 1. ผิวดี 2. ดูเป็นมิตร 3. ใส่แว่นแล้วดูมีเสน่ห์ เชื่อมั้ยว่าตอนที่พี่เขาอ่านข้อดีที่ผมเขียนให้ ผมมองเห็นแววตาของพี่เขาเป็นประกายวิบวับ (โดยเฉพาะตอนอ่านข้อ 3) การที่คุณทำอะไรบางอย่างให้คนอื่นรู้สึกประทับใจ เมื่อเขาแสดงออกมาให้คุณเห็นว่าเขาประทับใจ มันจะกลายเป็นพลังบวกที่สะท้อนกลับมายังตัวคุณเอง วินาทีนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่มีค่าสำหรับพี่เขาเลย
นี่คือบทเรียนง่ายๆ สำหรับการฝึกมองหาข้อดีของคนอื่น
แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือการพยายามมองหาข้อดีของคนที่คุณมีอคติด้วย คนที่คุณรู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรดีเลย เชื่อเถอะว่าแม้แต่มหาโจรก็ย่อมมีข้อดีอยู่ การก่นด่าถึงข้อเสียของเขา อาจไม่สามารถทำให้เขาปรับปรุงข้อเสียที่ตัวเองมีอยู่ได้ แต่การชื่นชมในข้อดีของเขา จะเป็นพลังบวกที่ทำให้เขาอยากเพิ่มข้อดีของตัวเองให้มากขึ้น
และสิ่งที่ยากที่สุดคือการพยายามมองหาข้อดีของตัวคุณเองในยามที่คุณมีความทุกข์มากที่สุด ในวันที่คุณรู้สึกด้อยค่า หากคุณมองเห็นคุณค่าของตัวเอง คุณจะลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับความทุกข์ได้ไม่ยากเลย
ผมขอปิดท้ายบทความนี้ด้วยข้อเขียนหนึ่งที่ผมพบบน Facebook ธรรมอย่างไรให้รัก เป็นข้อเขียนที่ผมเห็นด้วยในทุกตัวอักษรเลย
คุณศรัทธาในตัวคนรักไหมคะ
คุณเชื่อรึเปล่าว่าคนรักของคุณเป็นคนที่คุณเลือกมาแล้วอย่างดี
คุณเชื่อในตัวตนของคนรักของคุณรึเปล่าความเชื่อมั่น ศรัทธาในคนรักเป็นสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตคู่นะคะ การรักกันหากเราไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายมีนิสัยที่ดีงามเข้ากันได้ เราก็จะใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจกันบ่อยๆ จนกระทั่งบางวัน อาจทำให้ทนอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วสุดท้าย คำพูดที่เราใช้ทำร้ายเค้าก็จะทำให้เค้าเป็นแบบที่เราพูด
คำพูดและความคิดเป็นเหมือนแม่เหล็กค่ะ หากคุณพูดหรือคิดสิ่งที่ใดบ่อยๆ จิตคุณจะยึดอยู่กับสิ่งนั้น เฝ้ามองหาแต่สิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นก็จะเป็นจริงขึ้นมา
อย่างเช่นถ้าหากคุณสนใจมือถือรุ่นนึง คุณจะพบว่ามีคนใช้มือถือรุ่นที่คุณสนใจนั้น เดินผ่านไปมาให้เห็นมากกว่าปกติ นั่นเพราะคุณสังเกตเห็นมัน และมันก็จะดึงดูดสิ่งที่คุณเฝ้าฝันถึงเสมอมาให้
เช่นกันกับคนรัก ถ้าคุณเชื่อมั่นว่าคนรักเป็นคนดี มองหาแต่สิ่งดี ชื่นชมสิ่งดีๆ ไม่มีคำพูดร้ายออกมาให้แหนงใจ คงจะยากที่ชีวิตคู่ของคุณจะไม่สดชื่น แต่หากคุณเอาแต่มองข้อแย่ ข้อเสีย และสังเกตเห็นแต่เรื่องร้ายๆ ของอีกฝ่าย ก็คงจะยากที่ชีวิตคู่จะดีไปได้
มนุษย์เราไม่ว่าใคร ก็ย่อมอยากเป็นคนน่าชื่นชมในสายตาคนอื่น แม้จะมีเวลาที่ร้ายบ้าง แต่ในสายตาคนที่เรารัก เราย่อมอยากให้เค้าให้อภัย หรือไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นในตัวเราลง แต่เมื่อไหร่ที่มีการกล่าวโทษ หรือแม้กระทั่งตัดสินเราด้วยสายตาของอคติ คนส่วนใหญ่ย่อมจะปกป้องตัวเอง ด้วยคำพูดโต้แย้ง ที่จะชักการเกิดวิวาทะตามมา
หากใครมีคนที่รักแล้ว จงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวของคนรักจนถึงที่สุด แล้วชักนำกันไปสู่ความรัก ชีวิตคู่ที่ดีงาม เต็มไปด้วย ศีล ศรัทธา จาคะ และปัญญาที่เสมอกันนะคะ