จากบล็อกตอนที่แล้ว ผมทิ้งท้ายไว้ว่าผมมีเป้าหมายทางการเงินอีกอย่าง ขอเฉลยในบล็อกนี้เลยว่าเป้าหมายที่ว่านั้นก็คือการมี Passive Income หรือรายได้ที่ได้มาโดยที่ผมไม่ต้องทำงานเองก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆ ซึ่งผมเคยทำได้เดือนละ 1 หมื่นบาทเมื่อตอนอายุ 30 ปี
ผมรู้จักคำว่า Passive Income ครั้งแรกตอนที่มีโอกาสได้เล่นเกมกระแสเงินสด ซึ่งเป้าหมายของเกมนี้ไม่ใช่การมีเงินสดเยอะๆ เพราะเงินสดเป็นเพียงความอุ่นใจในยามที่ร้อนเงิน ไม่ใช่การมีรายได้เยอะๆ จากการทำงาน เพราะพอแก่ตัวลง หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ผมก็ทำงานหาเงินไม่ได้ แต่เป้าหมายของเกมคือผมต้องมีรายได้โดยที่ไม่ต้องทำงาน (หรือทำแต่น้อยมาก) ให้มากกว่าค่าใช้จ่ายประจำของผม ซึ่งนั่นเท่ากับว่าผมจะมีอิสรภาพทางการเงิน ใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปเครียดกับการทำงานให้เสียสุขภาพจิตแต่อย่างใด
ในช่วงนึงที่ผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์ ช่วงนั้นผมมีรายจ่ายประจำน้อยมาก เพราะอยู่บ้านพ่อ กินข้าวแม่ รายจ่ายของผมส่วนใหญ่จะเป็นค่าอาหารที่กินนอกบ้าน (นึกภาพคนทำงานอิสระที่ชอบไปนั่งชิวตามร้านกาแฟ) กับพวกค่าน้ำมันเวลาไปหาลูกค้าหรือไปบรรยาย ผมประเมินแบบคร่าวๆ ว่าตกเดือนละ 1 หมื่นบาท ตอนนั้นก็เลยคิดเล่นๆ กับตัวเองว่าถ้าเรามี Passive Income เดือนละ 1 หมื่นบาท นั่นแปลว่าเราจะมีอิสรภาพทางการเงินตามนิยามของพ่อรวยสอนลูกเลยนะ
ทีนี้การที่เราจะมี Passive Income ได้ แปลว่าเราจะต้องมีทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้โดยที่เราไม่ต้องทำงาน เช่น เงินฝากธนาคารหรือพันธบัตรรัฐบาลที่มีดอกเบี้ยให้เรา หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล เครื่องซักผ้าหรือตู้น้ำหยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชน เว็บไซต์ที่ติดแบนเนอร์โฆษณาหรือลิงก์ Affiliate คอนโดให้เช่า ธุรกิจเครือข่าย (MLM) หรือแม้แต่ปล่อยกู้นอกระบบให้คนรู้จัก เป็นต้น ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นเสมือนเครื่องพิมพ์แบงก์นั่นเอง
ตอนที่ผมเพิ่งลาออกจากงานประจำ ผมมีทรัพย์สินที่ว่านี้อยู่แค่ 2 อย่าง คือเงินสดหนึ่งก้อนที่อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนปีละ 0.75% กับพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนดีหน่อยที่ 6% แต่เงินต้นไม่เยอะ ซึ่ง Passive Income ที่มีอยู่ตอนนั้นก็ราวๆ เดือนละพันกว่าบาท จิ๊บจ๊อยมาก กินบุฟเฟ่ต์สองมื้อก็หมดแล้ว ผมเลยตั้งเป้าหมายว่าจะขอมี Passive Income สักเดือนละ 1 หมื่นบาท ผมก็จะมีอิสรภาพทางการเงินได้แบบสมถะ แต่ในระยะยาว ขอสักเดือนละ 2 หมื่นบาทละกัน จะได้ใช้ชีวิตอู้ฟู่ขึ้นอีกนิด
ผมเริ่มหัดสร้างทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ เริ่มจากการลงทุนในหุ้น แน่นอนว่าช่วงแรกก็งูๆ ปลาๆ พอสมควร ไปซื้อหุ้นพื้นฐานดี กิจการดี แบรนด์เป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม แต่อัตราการเติบโตไม่ค่อยสูง และราคาก็เต็มมูลค่าแล้ว ผลก็คือถือไว้หลายปีราคาก็ไม่ขยับไปไหน ส่วนปันผลก็จิ๊บจ๊อยประมาณ 3% ต่อมาเลยทดลองเล่นหุ้นที่วิ่งขึ้นลงเร็ว และใช้ระบบการเทรดแบบที่มีคนแชร์ในกระทู้ Pantip ซึ่งเป็นกระทู้ที่ฮอตมาก พอเอาเข้าจริงแล้ววิธีนี้ก็ไม่เหมาะกับผม เพราะผมไม่ขยันมากพอที่จะมานั่งเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา สุดท้ายคิดว่าแนว Value Investment น่าจะเหมาะกับผมที่สุด ก็เลยมองหาหุ้นพื้นฐานดี แนวโน้มในอนาคตมีโอกาสเติบโตสูง ราคาตอนนี้ยังไม่แพงมาก เลยได้ CPALL มาในราคาไม่ถึง 10 บาท ซึ่งทุกวันนี้ยังเสียดายอยู่ว่าทำไมตอนนั้นไม่ซื้อให้เยอะกว่านี้ เพราะราคามันพุ่งขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ
ทรัพย์สินชิ้นต่อมาที่ผมลงทุนคือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เป็นธุรกิจที่ตัวเองไม่ถนัดเลย ไม่รู้ว่าจะหาทำเลยังไง วิเคราะห์ยังไงว่าทำเลไหนดีหรือไม่ดี จะดีลกับเจ้าของทำเลยังไง โชคดีที่ตอนนั้นไปเจอบริษัทขายเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ช่วยหาทำเลให้ด้วย เพราะจะมีคนที่เป็นเจ้าของทำเลแต่ไม่อยากลงทุนเอง ไปฝากชื่อไว้กับบริษัท พอมีคนที่มีเงินลงทุนแต่ไม่มีทำเลมาติดต่อ บริษัทก็จะจับคู่กัน ส่วนบริษัทก็ได้กำไรจากการขายเครื่องไป ทำเลที่ผมได้ไม่โดดเด่นอะไรนัก เป็นคอนโดระดับกลางค่อนมาทางล่างที่มีอายุมากกว่า 10 ปี มีห้องให้เช่าอยู่บ้าง ผมลงทุนไป 2 เครื่อง แวะไปไขกล่องหยอดเหรียญทุกเดือน นับเหรียญได้เดือนละประมาณ 3-4 พันบาท แต่ระยะหลังๆ รายได้ลดลง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ได้แต่สันนิษฐานว่าผู้เช่าห้องน้อยลง คนซื้อเครื่องซักผ้าใช้เองมากขึ้น สรุปว่าธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับทำเลล้วนๆ ทำเลที่ดีที่สุดคือย่านหอพักนักศึกษาหรืออพาร์ตเมนต์ให้เช่า แต่ทำเลเหล่านี้ก็มักจะถูกจับจองไปหมดแล้ว
การลงทุนในเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญทำให้ผมได้ทรัพย์สินชิ้นต่อมา นั่นคือการปล่อยกู้นอกระบบ วันนึงที่ผมไปไขกล่องหยอดเหรียญ เจ้าของทำเลมาคุยกับผมว่าเขาจะขอกู้เงิน ให้ดอกผมดีมาก เพราะเขาจะเอาไปปล่อยกู้ให้คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดอีกที โดยเขาหักเปอร์เซ็นต์ไว้นิดหน่อย แน่นอนว่าในตอนแรกผมค่อนข้างกลัว ผมปฏิเสธอย่างเดียว แต่ก็โดนว่าที่ลูกหนี้ตื๊ออยู่พอสมควร มีการเซ็นสัญญา มีการให้เช็คค้ำไว้ สุดท้ายก็เลยลองดู ช่วงแรกลูกหนี้จ่ายดอกตรงเวลาเป๊ะ พอถึงกำหนดคืนเงินต้น ทางลูกหนี้ขอกู้ต่อ ให้ดอกลดลงนิดนึงโดยบอกว่าจะไปปล่อยกู้ต่อให้อีกคน แต่ก็ถือว่าดอกยังสูงอยู่ ผมก็ยอมให้ จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเงินอยู่ในมือเขาไปแล้ว พอเวลาผ่านไปนานเข้า จากที่สัญญาว่าจะจ่ายดอกทุกเดือน ก็กลายเป็นสองเดือนครั้ง สามเดือนครั้ง จนสุดท้ายก็หายเงียบไปเลย โชคดีที่ดอกที่ผมได้รับมาทั้งหมด รวมแล้วสูงกว่าเงินต้นพอสมควร ก็ถือว่าตัดเป็นหนี้สูญไป แต่ถ้าใครร้อนเงินจะมาขอกู้ผม ผมไม่ให้แล้วนะครับ ผมมองว่าเงินกู้นอกระบบเป็นสินทรัพย์ที่บ่อนทำลายความสุขทางใจพอสมควร
ช่วงแรกของการทำงานอิสระ ผมได้ลองทำธุรกิจนึงที่อยากทำมาตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ไม่มีเวลาทำ นั่นก็คือการขายของบน eBay ผมมองว่ามันตอบโจทย์ผมในแง่อิสระในการทำงานพอสมควร สามารถนั่งทำอยู่หน้าจอคอมที่บ้านได้ ใช้เวลาลองผิดลองถูกกับสินค้าพอสมควร ในที่สุดก็เจอเสื้อที่มีต้นทุน 95 บาท แต่สามารถขายบน eBay ได้ในราคา 800 บาท ช่วงแรกดีใจมาก แต่พอทำไปสักพักนึงจะเริ่มรู้สึกเหนื่อย ต้องแกะเสื้อออกจากถุง ถ่ายรูป แต่งรูป เขียนรายละเอียด เอาลง eBay รอลูกค้าสั่งซื้อ แพ็กใส่ถุง เอาไปส่งไปรษณีย์ จุดที่เหนื่อยที่สุดคือการถ่ายรูป ด้วยความที่ผมมีสต็อกเสื้อแต่ละลายแค่ 2-3 ตัว ไม่กล้าสต็อกมากเพราะกลัวขายไม่ออก และอยากให้มันมีความหลากหลายหน่อย ซึ่งความหลากหลายนี้มันไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย ธุรกิจนี้จึงไม่ได้สร้าง Passive Income ให้ผมแต่อย่างใด
ด้วยความที่ขาย eBay อยู่พักนึง และรู้จักกับพี่คนนึงที่จัดสัมมนา eBay เขาก็ชวนผมไปเป็นวิทยากร ปรากฎว่ามีคนมาเรียนเยอะมาก ผมก็เลยเปิดบล็อกที่เขียนให้ความรู้เกี่ยวกับ eBay แล้วเอาโฆษณา Google AdSense มาติด ในบางบทความมีการเขียนแนะนำเครื่องมือน่าใช้สำหรับคนที่สนใจจะขายของบน eBay โดยผมทำลิงก์ Affiliate ไปยังผู้ให้บริการเครื่องมือเหล่านั้น ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยนะว่าผมได้ค่าคอมมิสชั่นจากบล็อกที่มีบทความภาษาไทยไม่ถึง 30 บทความ 2-3 หมื่นบาทต่อปี นี่คือธุรกิจ Affiliate Marketing ที่ทำให้หลายคนลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำเต็มตัว และสามารถกอบโกยรายได้มหาศาล ทุกวันนี้รายได้ของบล็อกนี้ลดลงไปเยอะแล้วเพราะกระแสความนิยมของคนไทยที่ขายของบน eBay ลดลง
มาถึงธุรกิจเครือข่าย (MLM) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้หนังสือพ่อรวยสอนลูกในการโน้มน้าวคนเป็นอย่างมาก ผมเคยเข้าไปอยู่ในธุรกิจนี้ระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ได้รู้ว่าธุรกิจนี้มองคนที่เป็นลูกค้าและดาวน์ไลน์เป็นเสมือนทรัพย์สิน ลูกค้าที่ซื้อสินค้าใช้เป็นประจำโดยที่เราไม่ต้องเทคแคร์อะไรมาก เราจะได้คอมมิสชั่นเป็นเสมือน Passive Income แต่เงินก้อนนี้ไม่มาก เพราะธุรกิจเครือข่ายไม่ได้อยากให้คุณเป็นนักขายสินค้า แต่อยากให้คุณเป็นนักขายธุรกิจ ก็คือการหาดาวน์ไลน์ที่สนใจจะทำธุรกิจเช่นเดียวกันกับคุณ ดาวน์ไลน์ที่ดีจะนำมาซึ่งเครือข่ายที่แผ่ขยายออกไป และคุณก็จะได้รับ Passive Income จากเครือข่ายนี้มหาศาล แต่ภายหลังผมพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับธุรกิจเครือข่าย และ Passive Income ของธุรกิจนี้ก็ไม่มีเสถียรภาพเอาซะเลย เพราะถ้าคุณหยุดทำธุรกิจเมื่อไหร่ ดาวน์ไลน์ที่คุณชวนมา เขาก็จะอยากหยุดไปด้วย กระบวนการหยุดจะเกิดขึ้นแบบลูกโซ่จนสุดท้ายรายได้ก็จะลดลงมาก อีกทั้งยังมีการแข่งขันกันระหว่างค่ายสูงมาก แม่ทีมย้ายไปทำค่ายอื่นพร้อมกับพาลูกทีมติดไปด้วย สรุปได้ว่าคนคือทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงมากและผันผวนเป็นที่สุด
เหล่านี้คือทรัพย์สินที่ผมเคยมี และมีอยู่ช่วงเวลานึงตอนผมอายุ 30 ปี ที่ทรัพย์สินเหล่านี้สามารถสร้าง Passive Income ให้ผมเดือนละ 1 หมื่นบาท ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่ทำได้มากกว่านี้ตั้งแต่ตอนที่อายุน้อยกว่านี้ แต่นี่ก็คือก้าวแรกของผม ทุกวันนี้ Passive Income ของผมลดลงเนื่องจากการสูญเสียหรือด้อยค่าลงของตัวทรัพย์สิน แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้จักและโฟกัสกับทรัพย์สินที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ ได้ ผมมองว่าหุ้นของบริษัทที่พื้นฐานดีเยี่ยม เป็นทรัพย์สินที่สร้าง Passive Income ได้ยอดเยี่ยม และผมมองว่าพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ก็เป็นทรัพย์สินที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ใช้เงินไม่มาก เน้นสร้างและสะสมคอนเทนต์ไปเรื่อยๆ
ทรัพย์สินอีกประเภทที่ผมไม่เคยครอบครองมาก่อนเพราะขนาดของมันใหญ่เกินกำลังที่ผมมี แต่เร็วๆ นี้ผมอาจจะเข้าไปลองจับทรัพย์สินนี้ดู นั่นก็คืออสังหาริมทรัพย์ วันนึงผมอาจจะมีรายได้จากการเป็นเจ้าของคอนโดให้ฝรั่งเช่าก็เป็นได้