แบ่งเวลาทำงาน แบ่งเวลาเก็บเงินให้รวย

คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวว่า ถ้ายังทำงานเป็นลูกจ้าง (Employee) หรือจ้างตัวเองทำงานให้คนอื่น (Self-employed) คุณจะไม่มีวันรวย เพราะคุณต้องขายเวลาตัวเองเพื่อแลกกับเงิน ถ้าคุณอยากรวยต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ (Business Owner) หรือนักลงทุน (Investor) เพราะเป็นการให้เงินทำงานแทนเรา เราจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น

ส่วนตัวผมคิดว่าคำกล่าวนี้ไม่เป็นจริงเสมอไป มีวิธีที่คุณจะรวยได้โดยเป็นลูกจ้างหรือรับจ้างทำงานให้คนอื่น เพียงแต่คุณต้องรู้เคล็ดลับการบริหารเวลา เอาเวลาส่วนหนึ่งไปทำงานแลกเงิน และแบ่งเวลาอีกส่วนเพื่อสร้างเงินให้งอกเงย

ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจธรรมชาติของเงินก่อน ถ้าคุณเก็บเงินไว้เฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย เงินจะด้อยค่าลงเรื่อยๆ เพราะเงินเฟ้อ คุณจึงต้องแบ่งเวลามาจัดการเงินเพื่อให้มันงอกเงยขึ้น การที่เงินจะงอกเงยขึ้นได้เกิดจาก 3 ปัจจัย คือ 1. จำนวนเงินตั้งต้น 2. ระยะเวลางอกเงย 3. ผลตอบแทนการลงทุน

จำนวนเงินตั้งต้น

มาดูที่จำนวนเงินตั้งต้นก่อน สมมติว่านายรวยน้อยเก็บเงินได้เดือนละ 1,000 บาท หรือปีละ 12,000 บาท ผ่านไปสิบปี นายรวยน้อยจะมีเงินเก็บ 120,000 บาท ขณะที่นายรวยมากเก็บเงินได้เดือนละ 2,000 บาท ผ่านไปสิบปี นายรวยมากจะมีเงิน 240,000 บาท ตรงไปตรงมา สิ่งที่คุณต้องทำก็คือหาเงินให้ได้มากๆ และลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นให้เหลือน้อยๆ

ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วจะหาเงินให้ได้มากๆ ได้ยังไง เงินเดือนไม่เยอะ แต่ละปีได้ปรับเงินเดือนก็ไม่เยอะ คำตอบคือมีสองวิธี วิธีแรกคือต้องแสดงฝีมือเพื่อก้าวหน้าเติบโตในองค์กรอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามีฝีมือแต่องค์กรจ่ายค่าตอบแทนให้เราไม่สมน้ำสมเนื้อ ก็จะมีองค์กรอื่นที่มองเห็นและยอมจ่ายให้เรา

ส่วนวิธีที่สองคือหางานเสริมทำเพิ่ม ยุคนี้มีคำว่า Gig Economy หรือการทำงานหลายๆ อย่างในแต่ละวัน เช่น ตอนกลางวันทำงานประจำ ตอนกลางคืนขายของผ่านเน็ต รับแปลงาน รับออกแบบกราฟฟิค เขียนบล็อกหรือทำคลิป YouTube เพื่อหาเงิน เสาร์อาทิตย์อาจจะขับ Uber จัดทริปพาคนต่างชาติเที่ยวแบบท้องถิ่น หรือรับสอนหนังสือเด็ก มีงานมากมายที่คุณทำได้ ผมเห็นหลายคนมีรายได้จากงานเหล่านี้แซงหน้าเงินเดือนไปแล้ว

coins

ระยะเวลางอกเงย

นายรวยน้อยกับนายรวยมากเรียนจบมาพร้อมกัน ถ้านายรวยมากเริ่มเก็บเงินทันทีหลังจากทำงานเดือนแรก โดยเก็บได้เดือนละ 2,000 บาท หรือปีละ 24,000 บาท เอาไปฝากประจำได้ดอกเบี้ยปีละ 3% ดอกเบี้ยเอาไปทบต้นตลอด ผ่านไป 4 ปี นายรวยมากจะมีเงินเก็บถึง 1 แสนบาท นายรวยน้อยเห็นนายรวยมากมีเงินล้านก็เริ่มเก็บเงินบ้าง เก็บเดือนละ 2,000 บาทเหมือนกัน เวลาผ่านไปอีก 4 ปี นายรวยน้อยเพิ่งจะมีเงิน 1 แสนบาท ขณะที่นายรวยมากจะมีเงิน 2.2 แสนบาทแล้ว

นั่นแปลว่าคุณควรเริ่มเก็บเงินตั้งแต่ “ตอนนี้” เลย ทีนี้พื้นเพชีวิตของคนเรามันไม่เท่ากันใช่มั้ย นายรวยมากอาจมีครอบครัวอยู่ในกรุงเทพ อาศัยอยู่บ้านพ่อแม่ เลยมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนน้อย ทำให้เก็บเงินได้มาก ส่วนนายรวยน้อยมาจากต่างจังหวัด ต้องเช่าหออยู่ ไม่เหลือเงินเก็บเลย กว่าจะเริ่มเก็บเงินได้ก็ผ่านไป 4 ปีแล้ว นายรวยน้อยจึงต้องทำงานเพิ่มด้วยวิธีในข้อที่แล้ว และต้องหาทางประหยัดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด เช่น หาเพื่อนมาแชร์ค่าหอด้วยกัน ถ้านายรวยมากดื่ม Starbucks นายรวยน้อยควรชงกาแฟออฟฟิศ หรือถ้านายรวยมากกินบุฟเฟ่ต์ทุกวันศุกร์ นายรวยน้อยควรกินข้าวแกงธรรมดานั่นแหละ ลำบากช่วงแรกๆ หน่อย แล้วจะสบายเร็วขึ้น

calendar

ผลตอบแทนการลงทุน

นายรวยน้อยทำงานมาหลายปี เงินเดือนสูงขึ้น เก็บเงินได้มากขึ้น ตอนนี้เก็บได้เดือนละ 10,000 บาท หรือปีละ 120,000 บาท นำไปฝากประจำดอกเบี้ย 3% ผ่านไป 8 ปี นายรวยน้อยจะมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ส่วนนายรวยมากเก็บเงินปีละ 120,000 บาทเช่นกัน นำไปซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาเหมาะสม ได้ปันผลมาก็เอากลับไปลงทุนเพิ่ม ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ถือคติไม่ขายไม่ขาดทุน จะขายก็ต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นพื้นฐานเปลี่ยน หรือเจอหุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจกว่า อาจจะปรับพอร์ตปีละครั้ง ผ่านไป 8 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% นายรวยมากจะมีพอร์ตหุ้นมูลค่าถึง 1.5 ล้านบาท และถ้าเวลาผ่านไป 20 ปี มูลค่าพอร์ตของนายรวยมากจะสูงถึง 7.5 ล้านบาท ส่วนเงินในบัญชีฝากประจำของนายรวยน้อยจะมีเพียง 3.3 ล้านบาท

นายรวยมากอยากเกษียณเร็วเกษียณรวย เลยลาออกจากงานตอนมีพอร์ต 7.5 ล้านบาท แล้วใช้ชีวิตด้วยเงินปันผลจากพอร์ตหุ้นปีละ 3% นายรวยมากจะมีรายได้ปีละ 225,000 บาท หรือเดือนละ 18,750 บาท พอจะใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆ นี่คืออิสรภาพทางการเงินที่เกิดจากการเก็บเงินเพียงเดือนละ 10,000 บาท แล้วฝากไว้ในตลาดหุ้น ถ้านายรวยมากเก็บเงินมากกว่าเดือนละ 10,000 บาท ก็จะมีเงินใช้มากขึ้นหลังเกษียณ หรือจะเลือกเกษียณเร็วขึ้นก็ยังได้

ถ้าคุณอยากเป็นแบบนายรวยมาก คุณควรแบ่งเวลามาศึกษาเรื่องการลงทุน หุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก แต่ผลตอบแทนก็ดีมากเช่นกัน เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยซื้อหุ้นร้านสะดวกซื้อในราคาไม่ถึง 10 บาทต่อหุ้น ตอนนั้นมีข่าวเรื่องการลงทุนในจีนประสบปัญหา แต่ผมมองว่าธุรกิจในไทยก็เติบโตดี มีการขยายสาขา ลูกค้าเดินเข้าร้านตลอด มีโปรโมชั่นสะสมสแตมป์เพื่อเพิ่มยอดขายต่อบิล เน้นขายอาหารมากขึ้นเนื่องจากขายง่าย คู่แข่งก็ยังตามหลังอยู่ไกล พื้นฐานธุรกิจดี ราคาถูกเพราะข่าวร้ายชั่วคราว แบบนี้ต้องซื้อ ผ่านไป 5 ปี หุ้นตัวนี้ราคาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ผมได้กำไรประมาณ 8 เท่าของเงินลงทุน

ผมไม่ใช้เวลามากนักกับการนั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อดูราคาหุ้น แต่ผมจะใช้เวลาไปกับการศึกษาธุรกิจของหุ้นตัวที่ผมสนใจ ซึ่งผมจะปรับพอร์ตเพียงปีละครั้ง หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ราคาวิ่งขึ้นๆ ลงๆ ไป บางปีกำไรเยอะ บางปีขาดทุนบ้าง แต่โดยเฉลี่ยในระยะยาว กำไรไม่น้อยกว่าปีละ 10% แน่นอน

stock

อยากรวยแล้ว เริ่มยังไงดี

ถ้าตอนนี้ยังไม่มีเงินเก็บ ให้แบ่งเวลามาทำงานให้มีเงินเก็บก่อน พอเริ่มมีเงินแล้ว ก็เริ่มแบ่งเวลามาศึกษาวิธีทำให้เงินเก็บงอกเงย สำคัญที่สุด ก่อนจะลงทุนอะไร ควรลงทุนความรู้ให้ตัวเองก่อน เริ่มจากการอ่านบทความดีๆ ในเว็บ Krungsri Guru มีสารพัดเรื่องให้อ่านเลยครับ ทั้งด้านการเงิน การลงทุน การทำงาน การทำธุรกิจ การตลาด ฯลฯ ลองคลิกเข้าไปอ่านได้ที่ https://www.krungsri.com/bank/th/KrungsriGuru.html

ถ้าอ่านแล้วชอบ ฝากแชร์ด้วยนะครับ
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •